วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555



บทความเรื่อง...การศึกษาสร้างคน  สร้างชาติ
             การศึกษา หมายถึง  การสร้างคนให้มีความรู้ ความสามารถมีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นมีลักษณะนิสัยจิตใจที่ดีงาม  มีความพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อตนเองและสังคม  มีความพร้อมที่จะ  ประกอบการงานอาชีพได้ การศึกษาช่วยให้คนเจริญงอกงาม ทั้งทางปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม  การศึกษาจึงเป็นความจำเป็นของชีวิตอีกประการหนึ่ง นอกเหนือจากความจำเป็น ด้านที่อยู่อาศัย อาหารเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การศึกษาจึงเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต เป็นปัจจัยที่จะช่วยแก้ปัญหาทุก ๆ ด้านของชีวิตและเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของชีวิตในโลกที่มี  กระแสความเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบให้วิถีดำรงชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  เช่นเดียวกันการศึกษายิ่งมีบทบาทและความจำเป็น มากขึ้นด้วย การศึกษาที่จะช่วยให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี มีความสุข จะต้องมีลักษณะ ที่สำคัญดังนี้ 
         1. เป็นการศึกษาที่ให้ความรู้ และทักษะพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเพียงพอ เช่น ความรู้และทักษะทางด้านภาษา  การคิดคำนวณ  ความเข้าใจหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นต้น สภาพปัจจุบันมีความจำเป็นต้องสนับสนุนให้ทุกคนได้รับ  การศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างน้อย 12 ปี  จึงจะเพียงพอกับความต้องการและความจำเป็นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น 
         2. การศึกษาทำให้คนเป็นคนฉลาด เป็นคนมีเหตุผล คิดเป็นแก้ปัญหาเป็น และ รู้จักวิธีแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง และเพื่อการสร้างงานอาชีพ 
         3. การศึกษาต้องสร้าง ปลูกฝัง นิสัยที่ดีงาม ให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยเฉพาะนิสัยรักการเรียนรู้ และนิสัยอื่น ๆ เช่นความเป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน อดทน มีความรับผิดชอบ เป็นต้น 
         4. การศึกษาต้องสร้างความงอกงามทางร่างกาย มีสุขภาพ พลานามัยที่ดี รู้จัก  รักษาตนให้แข็งแรง ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และสารพิษต่างๆ
         5. การศึกษาต้องทำให้ผู้เรียนไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ให้ความร่วมมือกับผู้อื่นในสังคม ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยสร้างสังคมที่สงบเป็นสุข รักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืน 
        6. การศึกษาต้องทำให้คนมีทักษะการงานอาชีพที่เพียงพอ กับการเข้าสู่การงานอาชีพ รู้จักการประกอบอาชีพและรู้จักพัฒนาการงานอาชีพของตนเอง 
           ทั้ง 6 ประการ เป็นพื้นฐานทางการศึกษาที่จำเป็น ที่คนจะต้องได้รับรู้อย่างทั่วถึงทุกคน ถ้าทุกคนได้รับอย่างครบถ้วน เพียงพอก็จะทำให้เกิดทักษะลักษณะและนิสัยที่พึงประสงค์ได้ การศึกษาจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นเพียงสำหรับคนบางคน แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนทุกคนโดยเฉพาะผู้ที่ขาดความพร้อมในปัจจัยต่าง ๆ เพื่อการดำรงชีวิตที่มีคุณภาพ ยิ่งมีความ จำเป็นมากที่สุด 
           คนที่ขาดความพร้อมต้องการการศึกษามาก มักเป็นกลุ่มคนที่ถูกลืมตลอดเวลา การศึกษาที่ได้รับก็มักเป็นบริการที่กระท่อนกระแท่น ไม่เพียงพอกับการเรียนรู้ที่เหมาะสม ไม่พอแม้เพียงเพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัย ตรงข้ามกับผู้ที่มีความพร้อมพอจะช่วยตนเองได้ กลับได้รับบริการที่มีคุณภาพและปริมาณที่ดีกว่ามาก ดังจะเห็นได้จากสถานศึกษาในเมืองกับในชนบท ที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในทุก ๆ ด้าน ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ การศึกษานอกจาก จะไม่สามารถสร้างความพร้อมที่เพียงพอกับผู้ต้องการแล้ว ยังส่งเสริมให้ช่องว่างระหว่าง คนรวยกับคนจนแตกต่างกันมากขึ้นด้วย 
         เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างชาติ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับยุทธศาสตร์การศึกษาเสียใหม่ให้หันมาให้ความสำคัญกับคนยากจนคนเสียเปรียบ และคนด้อยโอกาสให้มากขึ้นทรัพยากรของรัฐต้องนำมาใช้จ่าย เพื่อปรับปรุงบริการการศึกษา สำหรับคนยากจนให้ดีขึ้นเป็นพิเศษ ให้เพียงพอกับการสร้างลักษณะนิสัย และความพร้อมที่จำเป็น ถ้าคนยากจน คนเสียเปรียบ คนด้อยโอกาสได้รับการศึกษาที่เหมาะสม และมีคุณภาพแล้ว  ปัญหาต่าง ๆ ในบ้านเมืองก็จะลดน้อยลงไปโดยปริยายและยังทำให้เขากลายเป็นกำลัง สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศได้อย่างดีด้วย 
          การศึกษานอกจากเป็นปัจจัยที่ 5 แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต และเป็นปัจจัยเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย


                    ระดับการศึกษาที่ยกตัวอย่างมาให้ดูประกอบ  ได้แก่   1.ระดับก่อนประถมศึกษา    2.ระดับประถมศึกษา   3.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น   4.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย   5.ระดับปริญญาตรีและต่ำกว่า       




            จากตาราง จะเห็นได้ว่ายิ่งระดับการศึกษาสูงขึ้น คือปริญญาตรีและต่ำกว่า  เปรียบเทียบจาก  พ.ศ.  2550 – 2552 นั้นจะมีจำนวนร้อยละ ของนักเรียนในระบบ ต่อ ประชากรในวัยเรียนลดลง  เห็นได้ชัดจากจำนวนตัวเลขในแต่ละปีการศึกษาที่แตกต่างกัน  นี่ก็เป็นข้อบ่งชี้ว่าสาเหตุที่ประชากร จะได้รับการศึกษาในระดับสูงๆนั้น ต้องมาจากหลายปัจจัย หลายสาเหตุ  หรือเพราะไม่ได้รับการช่วยเหลือ  การสนับสนุนจากรัฐบาล หรือ ทางด้านครอบครัวอาจจะไม่มีทุนที่จะส่งให้บุตร ร่ำเรียนต่อ เพราะการเรียนต่อในระดับปริญญา ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก ฐานะทางเศรษฐกิจบางครอบครัวอาจยังไม่พร้อม  หรือตัวบุคคลเองไม่ประสงค์อยากจะศึกษาต่อ  บางคนก็กลัวว่าเรียนจบไปสูงๆ อาจจะไม่มีงานทำ  แต่ละคนก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป บางครอบครัวถ้าพ่อ กับ แม่ พี่น้อง เครือญาติ เรียนจบระดับปริญญา ขึ้นไป ตัวเอง ก็ต้องดำเนินรอยตามต้องจบการศึกษาระดับปริญญาเหมือนกัน จะได้เทียบเท่า สมศักดิ์ศรีและเป็นเกียรติให้กับวงศ์ตระกูลของตน

        ระบบการศึกษาของไทย

           การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือ การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สถานศึกษา  จัดได้ทั้งสามรูปแบบ และให้มีการเทียบโอนผลการเรียนที่ผู้เรียนสะสมไว้ระหว่างรูปแบบเดียวกันหรือต่างรูปแบบได้ ไม่ว่าจะเป็นผลการเรียนจากสถานศึกษาเดียวกันหรือไม่ก็ตาม 

         การศึกษาในระบบมีสองระดับ คือ การศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งจัดไม่น้อยกว่า 12 ปี ก่อนระดับอุดมศึกษา และระดับอุดมศึกษา ซึ่งแบ่งเป็นระดับต่ำกว่าปริญญา และระดับปริญญา ให้มีการศึกษาภาคบังคับเก้าปี นับจากอายุย่างเข้าปีที่เจ็ด จนอายุย่างเข้าปีที่สิบหก หรือเมื่อสอบได้ชั้นปีที่เก้าของการศึกษาภาคบังคับ 

- สำหรับเรื่องสถานศึกษานั้น การศึกษาปฐมวัย และการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้จัดใน 

1) สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย 

2) โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนของรัฐ เอกชน และโรงเรียนที่สังกัดสถาบันศาสนา 

3) ศูนย์การเรียน ได้แก่ สถานที่เรียนที่หน่วยงานจัดการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์ และสถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด

- การจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา ให้จัดในมหาวิทยาลัย สถาบัน วิทยาลัย หรือ หน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่น ทั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- การจัดการอาชีวศึกษา การฝึกอบรมวิชาชีพ ให้จัดในสถานศึกษาของรัฐ สถาน ศึกษาของเอกชน สถานประกอบการ หรือโดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับสถานประกอบการ กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจจัดการศึกษา เฉพาะทางตามความต้องการและความชำนาญของหน่วยงานนั้นได้โดยคำนึงถึงนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ 

        การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ผู้เรียนทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ดังนั้นกระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน ได้พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ 

        การจัดการศึกษาทั้งสามรูปแบบใน หมวด  3   ต้องเน้นทั้งความรู้ คุณธรรม และ กระบวนการเรียนรู้ 

ในเรื่องสาระความรู้ ให้บูรณาการความรู้และทักษะด้านต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับแต่ละระดับการศึกษา ได้แก่ ด้านความรู้เกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสังคม ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา ด้านภาษา โดยเฉพาะการใช้ภาษาไทย ด้านคณิตศาสตร์ ด้านการประกอบอาชีพ และการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข 

       ในเรื่องการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมที่สอดคล้องกับ ความสนใจ ความถนัดของผู้เรียน และความแตกต่างระหว่างบุคคล รวมทั้งให้ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการการเผชิญสถานการณ์  และการประยุกต์ความรู้มาใช้ป้องกันและแก้ปัญหา จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติจริงผสมผสานสาระ ความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างสมดุล และปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดี คุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชา  นอกจากนั้น ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ยังต้องส่งเสริมให้ผู้สอนจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อและแหล่งวิทยาการประเภทต่าง ๆ จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมการดำเนินงาน และการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ การประเมินผลผู้เรียน ให้สถานศึกษาพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความ ประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ส่วนการจัดสรรโอกาสการเข้าศึกษาต่อ ให้ใช้วิธีการที่หลากหลายและนำผลการประเมินผู้เรียนมาใช้ประกอบด้วย หลักสูตรการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท ต้องมีความหลากหลาย  โดยส่วนกลางจัดทำหลักสูตรแกนกลาง



                  
 กราฟแสดงจำนวนของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ปีการศึกษา
2550 - 2552




จากสถิติจำนวนร้อยละของนักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบต่อประชากรในวัยเรียนจำแนกตามระดับการศึกษาปี 2550-2552 พบว่าจำนวนนักเรียนที่เรียนชั้นประถมศึกษามีจำนวนมากที่สุดและรองลงมาคือชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายและปริญญาตรีตามลำดับและจากสถิติพบว่าในปี พ.ศ.2550 มีจำนวนนักเรียนประถมศึกษามากกว่าปี 2551 และ 2552  



     
เปรียบเทียบจำนวนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ปีการศึกษา 2550 และ 2552


            จากกราฟจะเห็นได้ว่าจำนวนนักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบต่อประชากรในวันเรียนในปี พ.ศ. 2550  จะมีจำนวนนักเรียนชั้นประถมศึกษามากกว่าปี พ.ศ. 2552 แต่ปีพ.ศ. 2550 จะมีจำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรีน้อยกว่าปีพ.ศ. 2552







   แผนภูมิร้อยละของจำนวนนักเรียน นิสิต นักศึกษาในระบบต่อประชากรในวัยเรียน จำแนกตามระดับการศึกษา ปีการศึกษา 2550 - 2552


            จากกราฟจะเห็นว่าจำนวนนักเรียนระดับประถมศึกษามีจำนวนมากที่สุดโดย ปีการศึกษา 2550 มี104.5 ปีการศึกษา 2551 มี104.8  ปีการศึกษา 2552 มี 104 ต่างกับจำนวนนักศึกษาปริญญาตรีที่มีจำนวนลดลงโดยปี 2550มีร้อยละ 61.1  ปี2551 มีร้อยละ 60.5  และปี 2552 ร้อยละ 56.2




             
  สรุป
                  การศึกษาขั้นพื้นฐาน เน้นความเป็นไทยและความเป็นพลเมืองดี การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพตลอด จนเพื่อการศึกษาต่อและให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำหลักสูตรในส่วนที่เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และคุณลักษณะของสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชนสังคมและประเทศชาติ สำหรับหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มเรื่องการพัฒนาวิชาการ วิชาชีพชั้นสูงและการค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และสังคมศึกษา   ประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งพัฒนาประเทศในทุกด้าน และการศึกษาเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง  ที่ทำให้คนมีความรู้ ความสามารถเพียงพอต่อการเป็นผู้สร้างความเจริญ และการเป็นผู้รับการเปลี่ยนแปลงของสังคม  การศึกษามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ซึ่งปรากฏผลเด่นชัดทางวัตถุ  และการศึกษายังเป็นปัจจัยหลัก ในการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง ซึ่งเน้นหนักทางคุณธรรมและคุณภาพของประชาชน   สัมฤทธิผลของการศึกษาจึงวัดได้จากการบุคคลสามารถดำเนินชีวิตอย่างสงบพอเหมาะพอควร    สังคมและประเทศชาติรอดพ้นจากปัญหา มีความมั่นคงร่มเย็นเป็นสุข การศึกษาจึงเป็นไปเพื่อชีวิตและสังคม  
การศึกษาคือตัวแปรสำคัญในการสร้างคน  คนคือตัวจักรสำคัญในการสร้างสังคม                           
   เพราะอนาคตของประเทศชาติขึ้นอยู่กับศึกษาและวัฒนธรรมตราบเท่าที่ผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษามีคุณสมบัติไม่เหมาะสมกับตำแหน่งอนาคต  ประเทศชาติย่อมไม่สามารถจะก้าวไปในทิศทางที่พึงประสงค์ได้
เพราะการศึกษาคือ การสร้างคน คนสร้างสังคม สังคมก่อขึ้นมาเป็นชาติ
          ถ้าผู้ใดมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนต่อในระดับสูงๆ แล้วนั้น  ก็ควรจะทำหน้าที่ของตนเอง คือมีความตั้งใจ ขยันหมั่นเพียร  อดทน หมั่นศึกษาหาความรู้ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ได้มีโอกาสมาเล่าเรียน เพราะบางคนเขาไม่มีแม้แต่โอกาส ที่จะได้เล่าเรียนหนังสือ ได้รับความรู้ดีๆ ได้ประสบการณ์เพิ่ม


















ที่มา
-สถิติการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ


















1 ความคิดเห็น: